เรื่อง

10 คำถามก่อนก้าวเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง

10 คำถามก่อนก้าวเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง

ต้องยอมรับว่าธุรกิจเกี่ยวกับความงาม โดยเฉพาะการเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางอย่าง แบรนด์ครีม แบรนด์สกินแคร์ต่าง ๆ  ยังคงเป็นธุรกิจที่น่าลงทุน และยังอยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ ของการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนหรือเจ้าของแบรนด์มือใหม่อยู่เสมอ ๆ เนื่องจากในปัจจุบันผู้คนหันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น โดยเฉพาะผิวพรรณ เพราะฉะนั้นถ้าหากแบรนไหนที่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจนติดตลาดครองใจผู้บริโภคได้มาก ก็จะยิ่งได้เปรียบ และสร้างรายได้ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

รับผลิตครีม

แต่การธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีเพียงความตั้งใจกับเงินทุนอาจจะยังไม่พอ ถ้าต้องการให้ธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางของคุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน คุณจะต้องลองถามตัวเองก่อนว่ามีความพร้อมมากแค่ไหนกับการก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง กับ 10 คำถามดังนี้

คุณมีความพร้อมสำหรับธุรกิจแค่ไหน

เป็นข้อแรกที่คุณจะต้องตอบให้ได้ ก่อนจะก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง โดยเฉพาะเรื่องของทักษะ ความรู้ ความสามารถในด้านการบริหารจัดการธุรกิจ เพราะธุรกิจไม่ใช่การเล่นขายของ ที่เบื่อเมื่อไหร่ก็เลิก หากคุณมีแบรนด์ที่จะต้องจ้างลูกจ้างมาคอยช่วยด้านต่าง ๆ  การล้มเลิกธุรกิจก็ส่งผลต่อลูกจ้างของคุณเช่นกัน

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเวลาที่คุณจะทุ่มเทให้กับธุรกิจอย่างเต็มที่ อาจจะลากยาวคุณมีความอดทนไหม มีใจรักในการทำธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางนี้ไหม ชอบพบปะผู้คนไหม แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ไหม สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีส่วนช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในธุรกิจเร็วขึ้น

คุณมีความรู้เกี่ยวกับกับธุรกิจเครื่องสำอางพอหรือยัง

อยากทำแบรนด์เครื่องสำอางเพราะเห็นเพื่อนทำแล้วรวยหรือเปล่า ถ้าเป็นประเด็นนี้ก็อยากให้ลงลึกในเรื่องของความรู้เกี่ยวกับธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางนี้สักหน่อยก่อนที่จะลงทุน ดูประเภทเครื่องสำอาง ความรู้เรื่องการตลาด การบริหารตัวแทน ธุรกิจนี้เข้าง่ายก็จริง แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า “เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ”

หากคุณมีความรู้เพียงแค่ผิวเผิน บอกได้เลยว่า “โอกาสตกม้าตายสูง” ดังนั้นคุณควรลงมือหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางนี้อย่างจริงจัง ต้องให้เวลาและยอมลงทุนกับมัน เช่นเข้าคอร์สอบรมหรือลงทุนซื้อคอร์สสัมมนาอย่างน้อยสัก 3-4 คอร์ส จ้างที่ปรึกษาทางธุรกิจที่เขามีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านนี้ และให้เวลาในการศึกษาเพื่อหาจุดอ่อนจุดแข็งของธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางนี้ เช่นช่องทางจัดจำหน่าย แพ็กเกจ แหล่งผลิต การบริหารต้นทุน-กำไร การบริหารบุคลากรเป็นต้น

ความพร้อมของช่องทางการตลาดและการจัดจำหน่าย

เมื่อคุณมีเป้าหมายแล้วว่า จะจำหน่ายแบรนด์เครื่องสำอาง รวมถึงมีแบบบรรจุภัณฑ์ที่มั่นใจว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค คำถามที่คุณต้องตอบต่อไป คือ ช่องทางการทำตลาดและการจัดจำหน่ายของคุณ อยู่ที่ไหน ทำอย่างไร เช่น วางเป้าหมายจะจัดจำหน่ายผ่าน 7-11 คุณก็ต้องทำสินค้าให้มีคุณภาพ ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญคุณต้องมีกำลังการผลิตที่มากพอ เพราะ 7-11 มีเกือบหมื่นสาขาทั่วประเทศ ถ้าคุณคิดว่าจะขายผ่าน 7-11 เพราะช่องทางการตลาดและจัดจำหน่ายแข็งแกร่ง คุณต้องมีความพร้อมทุก ๆ ด้าน

จะทำแบรนด์เครื่องสำอางแบบไหน

หากคุณไม่รู้ว่าจะขายใคร คุณก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะทำแบรนด์เครื่องสำอางเพื่อตอบโจทย์อะไรให้กับลูกค้า เครื่องสำอางแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน สิ่งที่เราต้องโฟกัสจริง ๆ คือ ปัญหาของเขา ต้องตีกรอบเลือกลูกค้าให้กลุ่มเล็กที่สุด ยิ่งจี้ตรงจุดปัญหาเขาได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่ธุรกิจคุณจะไปได้ดีก็มีสูง ดังนั้นคุณต้องเลือกชนิดเครื่องสำอาง เลือกสารสกัดที่นำมาใช้ เลือกโรงงานผู้ผลิต ถ้าไม่เลือกก็ลำบากแน่นอน

สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับประเภทเครื่องสำอางได้ที่ ประเภทสกินแคร์ เรื่องควรรู้ก่อนทำแบรนด์

ผลิตสินค้าที่ไหน แหล่งผลิตเชื่อถือได้หรือไม่

แน่นอนว่าเมื่อคุณมีไอเดียที่จะวางแผนลงทุนเพื่อเป็นเจ้าของแบรด์เครื่องสำอางแล้ว ข้อมูลอันดับต้น ๆ ที่คุณมองหานั่นก็คือ “แหล่งผลิต” เพื่อผลิตสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้ โดยคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้

  • ความสะอาดและกระบวนการผลิตในโรงงาน ความสะอาดและความปลอดภัย เป็นปัจจัยอันดับต้น ๆ สำหรับการผลิตเครื่องสำอาง เนื่องจากจะต้องใช้กับใบหน้า และร่างกาย นอกเหนือจากส่วนผสมที่ไม่เป็นอันตรายและไม่ทำให้แพ้สารแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งต้องผ่านกระบวนการผลิตที่สะอาดพอ ทั้งนี้ โรงงานที่ใช้เครื่องจักรทันสมัยผลิตเครื่องสำอาง ก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าย่อมมีนวัตกรรมการผลิตที่สะอาด เพราะอุปกรณ์และเครื่องจักรในการผลิตที่ทันสมัยย่อมมีผลต่อคุณภาพที่ดีของสินค้าเราด้วย
  • มาตรฐาน โดยควรที่จะเลือกเฉพาะโรงงานที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตการจัดตั้ง ผ่านมาตรฐานการรับรองจากจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณะสุข เพื่อมั่นใจได้ว่าผู้ผลิตที่คุณเลือกใช้บริการนั้น สามารถไว้ใจและผลิตสินค้าคุณภาพให้คุณได้
  • เลือกโรงงานที่บริการครบวงจรอย่างมืออาชีพ (One Stop Service) ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อตัวเอง ไม่ต้องเสียเวลาติดต่อใช้บริการหลายที่กว่าจะได้สินค้ามาจำหน่าย และสุดท้าย การจะรู้ว่าโรงงานที่เลือกดีอย่างที่คิดหรือไม่ ก็ต่อเมื่อได้ลองใช้บริการจริง ๆ

จุดเด่นของสินค้าคุณคืออะไร

เป็นคำถามเบสิกสำหรับผู้ประกอบการทุกคน ไม่ว่าสินค้าของคุณเป็นอะไร มันจะต้องมีคุณค่าบางอย่าง ที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจควักเงินออกจากกระเป๋า เพื่อซื้อสินค้าจากคุณ แต่ถ้าสินค้าของคุณสามารถสร้างยอดขายได้ดีในตลาด ท่ามกลางคู่แข่งขันที่มีอยู่มากมาย นั่นแสดงว่าสินค้าของคุณต้องทีเด็ดอื่น ๆ อีก เช่น ลูกค้าอาจชอบในแพ็กเกจที่บรรจุผลิตภัณฑ์นั้น ๆ หรือซื้อไปเพื่อเป็นของฝาก สินค้าเหล่านี้ต้องมีการออกแบบสวยงาม ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้

คุณรู้ว่าอะไรคือจุดของอ่อนของตัวเอง

ไม่มีใครที่จะตอบคำถามนี้ดีไปกว่าเจ้าของแบรนด์ ดังนั้นจึงสมควรที่จะต้องรู้ลึกในเรื่องของจุดเด่นและจุดด้อยของสินค้าหรือแบรนด์เครื่องสำอางของตนเป็นอย่างดี เพื่อที่จะเอาจุดเด่นที่เกิดขึ้นนำมาใช้เป็นตัวขายและสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในตลาด ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งพัฒนาเพื่อกลบลบจุดด้อยที่มีเพื่อสร้างความสมบูรณ์แบบให้เกิดขึ้นมากที่สุด ซึ่งนั่นจะเป็นผลดีต่อการทำธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางในอนาคต

วางแผนงบการเงินไว้อย่างไร

ทำแบรนด์เครื่องสำอางใช่เพียงแค่มีเงินสั่งโรงงานผลิตแล้วทุกอย่างจบ เพราะนั่นมันแค่จุดเริ่มต้น เจ้าของแบรนด์ที่ดีต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ถ้าอยากให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น อาจจำเป็นต้องมีความพร้อมในเรื่องเงินทุน และสภาพคล่องทางธุรกิจ เพราะเงินทุนยังนำไปใช้จ่ายด้านอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการผลิตอย่างเดียว เช่น การตลาด ค่าประกันสินค้า การขนส่ง ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ พูดง่าย ๆ คือ คุณต้องมีเงินทุนหมุนเวียน มีกระแสเงินสด

คุณมีความทุ่มเทและอุทิศตนต่องานที่ทำหรือไม่

เมื่อจะเริ่มต้นธุรกิจ ก็ต้องรู้ให้ชัดเจนว่าคุณพร้อมที่จะทุ่มเทกับการทำธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอาง ขนาดถึงกับยอมสละความอิสระในชีวิตหรือยัง ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญ หากคุณสร้างให้เกิดขึ้นได้ ก็มั่นใจได้ว่าคุณจะดำเนินธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอาง ด้วยความรัก ความเอาใจใส่ และความผูกพันต่องานธุรกิจของคุณ

ทั้งนี้เจ้าของแบรนด์ต้อองตอบและกำหนดให้ได้ว่าเหตุผลที่คุณอยากเริ่มต้นธุรกิจ แบรนด์เครื่องสำอางคืออะไร และจุดหมายในท้ายที่สุดแล้วต้องการจะได้อะไรเป็นการตอบแทนจากการลงทุนในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลกำไร  ส่วนแบ่งการตลาด เป็นต้น

คุณพร้อมจะเป็นเจ้าคนนายคนหรือไม่

การทำธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอาง นอกจากการมีสินค้าที่ดี มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้อยู่รอดในช่วงเติบโตต่อไปคือ การสร้างเครือข่ายธุรกิจหรือการขยายกิจการ ซึ่งหมายถึง “การบริหารคน” คนคือ ทรัพยากรมนุษย์ที่ขับเคลื่อนกิจการไปข้างหน้า และคุณในฐานะผู้นำต้องรู้จักพูด รู้จักใช้คนที่แตกต่างในความสามารถและอุปนิสัยให้พาบริษัทเดินหน้าไปได้

สรุป

การก้าวเข้าสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางนั้น มีหลายสิ่งที่จะต้องคิด และเตรียมรับมือ เพราะการจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้มีเพียงเงินและความตั้งใจเท่านั้น เพราะการทำแบรนด์เครื่องสำอางจะต้องมีทั้งความรู้ ความสามารถในด้านต่าง ๆ รวมไปถึงความอดทนฝ่าฝันเพื่อไปให้ถึงความสำเร็จที่ตั้งใจไว้

โดย #โควิก โรงงานอาหารเสริมแบบ OEM รับผลิตอาหารเสริมตามความต้องการของลูกค้า พร้อมด้วยบริการแบบ One – Stop Service ที่บริการแบบครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน ในการสร้างแบรนด์อาหารเสริมของตัวเอง นอกจากนี้ทางโรงงานยังรับผลิตครีม รับผลิตสบู่ และรับผลิตยาสมุนไพรอีกด้วย

แหล่งที่มา :  pdl.co.th

สร้างแบรนด์อาหารเสริม

Step Marketing ของธุรกิจสุขภาพและความงาม

Step Marketing ของธุรกิจสุขภาพและความงาม

ธุรกิจสุขภาพและความงามถือเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะเมื่อไม่นานมานี้เทรนด์รักสุขภาพนั้นเป็นกระแสอย่างมาก และมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ COVID – 19  ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่หันมารักษาสุขภาพมาขึ้นทั้งภายในและภายนอก รวมถึงการใส่หน้ากากอนามัยที่ทำให้เกิดปัญหาผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นการอุดตัน อับชื้น หรือการเกิดสิวเป็นต้น

สร้างแบรนด์อาหารเสริม

ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ธุรกิจสุขภาพและความงามมากมาย จนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นทั้งอาหารเสริมและเครื่องสำอาง ทำให้แบรนด์บางแบรนด์สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด แต่ในขณะที่บางแบรนด์กลับไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่หวังไว้และหายไปในที่สุด หรือแม้แต่มีแบรนด์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ด

แต่การที่มีแบรนด์อาหารเสริมและเครื่องสำอางต่าง ๆ เกิดขึ้นมามากมายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องที่ใหญ่จริง ๆ คือ ในฐานะเจ้าของแบรนด์จะทำอย่างไรที่สามารถทำให้ธุรกิจและแบรนด์ของเรานั้นอยู่รอดและเติบโตเป็นที่รู้จักได้ในสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นในวันนี้ทาง Kovic จึงได้รวบรวม Step Marketing สำหรับธุรกิจสุขภาพและความงามในการสร้างแบรนด์อาหารเสริมและเครื่องสำอาง ที่ทำตามแล้วแบรนด์ของเราจะไม่จมหายไปจากวงการธุรกิจนี้อย่างแน่นอน

Step 1 : Brand Awearness

การทำธุรกิจหรือสร้างแบรนด์ของตัวเองสักแบรนด์หนึ่งขึ้นมา เปรียบเสมือนเราสร้างตัวตนคน ๆ หนึ่งขึ้นมา ยิ่งปัจจุบันโลกเราเข้าถึงโซเชียลมีเดียมากมาย เราจำเป็นที่จะต้องสร้างตัวตนของเราขึ้นมาในโลกออนไลน์ด้วย เท่านั้นยังไม่พอต้องทำให้พวกเขาเห็นเราในทุก ๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง Facebook, Instagram, Twitter, Youtube, Google และ Line เป็นต้น

ซึ่งช่องทางเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์ของเราได้เข้าถึง ทำความรู้จักกับลูกค้า บอกข่าวสารต่าง ๆ แก่พวกเขา เกิดการซื้อขายเกิดขึ้น และยังสามารถรักษาลูกค้าของเราไว้กับเราไปนาน ๆ ได้อีกด้วย

Step 2 : ทำให้เราเป็นที่สนใจ

ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ต้องสามารถทำให้แบรนด์ของเราเป็นที่พูดถึงให้ได้ และถ้ายิ่งวงกว้างเท่าไหร่ยิ่งดี การทำให้เราเป็นที่สนใจบนโลกออนไลน์ ยกตัวอย่างเช่น การสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ เจ๋ง ๆ หรือ คอนเทนต์ที่ตามกระแส ยิ่งเราจับจุดความสนใจของลูกค้ามากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งรู้ว่าคอนเทนต์แบบไหน แนวไหนที่จะโดนใจพวกเขา และทำให้เขารู้สึกอยากติดตามคอนเทนต์เราอยู่ตลอด

แต่อยากลืมว่าการเน้นการขายของมากเกินไปในคอนเทนต์ของเรา จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถูกยัดเยียดมากเกินไป จะทำให้กลายเป็นไม่อยากติดตามเรา หรือจะเป็นการทำ Search Engine (SEO) ใน Google เพื่อให้เวลาลูกค้าค้นหาสินค้าประเภทเกี่ยวกับสุขภาพหรือความงาม แบรนด์ของเราจะขึ้นมาให้เขาเห็นเราเป็นอันดับต้น ๆ ง่านต่อการเข้าถึงและทำให้เพิ่มความน่าเชื่อถือไปได้ด้วย

Step 3 : เสนอ How to แก้ปัญหาอย่างแนบเนียน

เมื่อลูกค้าเริ่มรู้จักกับเราแล้ว แต่เราก็อยากให้เขาสนิทกับเรามากยิ่งขึ้น มาใช้บริการหรือซื้อผลิตภัณฑ์ของเรามากขึ้น คอนเทนต์ How to แก้ปัญหาในเรื่องของสุขภาพความงามต่าง ๆ ที่ลูกค้าประสบพบเจอนั้น จะยิ่งเป็นการเพิ่มความน่าสนใจ และความอยากสนิทกับเรามากยิ่งขึ้น แบรนด์ของเราอาจจะทำคอนเทนต์ How to ตบเข้าด้วยวิธีรักษาอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการมาใช้แบรนด์ของเรานั่นเอง ถือว่าเป็นการขายของไปในตัวก็ว่าได้

Step 4 : เสนอบริการที่ตอบโจทย์

ขึ้นชื่อเรื่องของสุขภาพและความงาม ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการก็คงจะหนีไม่พ้นกับการเข้ามาใช้บริการเพื่อรักษาปัญหา หรืออาการที่เป็นอยู่ ซึ่งในขั้นนี้จะเป็นการเมคชัวร์ให้กับลูกค้าว่าเรานั้นสามารถรักษา หรือสินค้าของเรามีสรรพคุณที่ช่วยบรรเทาอาการ หรือบำรุงได้จริง

เราแค่ต้องมีข้อมูลและบริการต่าง ๆ ขึ้นตามเว็บไซต์ หรือตามสื่อโซเชียลขอเรา แยกตามประเภทของสินค้า หรือบริการ หรือปัญหาให้เห็นชัดเจน และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้ รวมถึงการมีพนังงานคอยตอบคำถามของพวกเขาได้ รวมถึงการมีพนักงานคอยตอบคำถามของพวกเขา และแนะนำการใช้บริการที่ตรงจุดก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น

Step 5 : ดูแลลูกค้าเหมือนคนที่เรารัก

เมื่อพวกเขาเข้ามาเป็นลูกค้าของเราแล้ว สิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลยก็คือ การรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ ดูแลพวกเขาให้เหมือนกับคนที่เรารัก โปรดจำไว้ว่าการรักษาฐานลูกค้าเดิม ประหยัดต้นทุนกว่าการสร้างลูกค้าใหม่ เพราะฉะนั้นเราจึงควรดูแลรักษาเขาเป็นอย่างดี

ตัวอย่างการรักษาฐานลูกค้าเช่น การทำ CRM ไม่ว่าจะเป็นสิทธิพิเศษต่าง ๆ หรือมี Line@ แจ้งข้อมูลข่าวสาร สิทธิประโยชน์ หรือเสนอคอนเทนต์อยู่เป็นประจำ ลูกค้าจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นพิเศษ และคนสำคัญ ซึ่งการทำ CRM นั้นจะสามารถช่วยให้เรารักษาฐานลูกค้าของเราไว้ได้ตลอด

Step 6 : อัพเดทข้อมูลวางแผนการตลาดสม่ำเสมอ

ถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก ทางแบรนด์ต้องใส่ใจในข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่จะสื่อสารให้กับลูกค้าได้รับรู้ สื่อช่องทางไหนมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากน้อยเพียงไหน ช่องทางที่ดีอยู่แล้วก็ให้รักษามาตรฐานแบบนี้ไว้ ส่วนช่องทางที่ผลตอบรับน้อยหน่อยก็ให้นำมาวิเคราะห์ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งจะเป็นแนวทางในการวางแผนการตลาดของแบรนด์ต่อไปได้ว่าเราควรมุ่งไปในทิศทางไหน มีนวัตกรรม เทคโนโลยีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาบ้าง เราสามารถที่จะแสดงจุดเด่นของเราได้อย่างไร โดยทั้งหมดก็จะส่งผลมาถึงยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นด้วยนั่นเอง

สรุป

การทำ Marketing นั้นสามารถทำให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักของหมู่ผู้บริโภคและสามารถทำให้อยู่รอดในวงการที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพและความงามจำหน่ายอยู่เต็มท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริม เครื่องสำอาง ครีม หรือสกินแคร์ต่าง ๆ

ซึ่งในความเป็นจริงนอกจาก Marketing จะดีแล้วนั้น คุณภาพของผลิตภัณฑ์ก็ต้องดีด้วย เพราะการสร้างแบรนด์อาหารเสริมหรือเครื่องสำอางเป็นของตัวเองสักแบรนด์ คุณภาพถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะถ้าหากการตลาดดี บรรจุภัณฑ์สวยน่าใช้แค่ไหน แต่คุณภาพของผลิตภัณฑ์แย่หรือไม่ได้คุณภาพ ก็ไม่อาจสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ได้ ดังนั้นนอกจากจะต้องทำการตลาดดีแล้ว การเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริม ผลิตเครื่องสำอางที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ให้ออกมามีคุณภาพก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่แบรนด์จะต้องใส่ใจไม่แพ้กัน

โดย #โควิก โรงงานอาหารเสริมแบบ OEM รับผลิตอาหารเสริมตามความต้องการของลูกค้า พร้อมด้วยบริการแบบ One – Stop Service ที่บริการแบบครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน ในการสร้างแบรนด์อาหารเสริมของตัวเอง นอกจากนี้ทางโรงงานยังรับผลิตครีม รับผลิตสบู่ และรับผลิตยาสมุนไพรอีกด้วย

แหล่งที่มา : taokaemai.com

ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติดีอย่างไร

ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติดีอย่างไร

ถ้าให้พูดถึงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เทรนด์ที่ผู้บริโภคต่างนิยมกันในปัจจุบันและไม่มีท่าทีว่าจะตกเทรนด์ไปได้เลยนั้น ก็คงหนีไม่พ้นเทรนด์ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เนื่องจากทุกวันนี้ผู้คนหันมาสนใจการรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากมาย ด้วยการรักธรรมชาตินี้จึงส่งผลไปยังเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดใช้ถุงพลาสติก การใช้กล่องหรือถุงที่มีวัสดุจากธรรมชาติ รวมไปถึงการบริโภคอาหารเสริมและเครื่องสำอางทีมีผู้บริโภคบางส่วนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก

ผลิตครีม

สมมติเดินไปเจอเครื่องสำอาง 2 แบรนด์ แบรนด์หนึ่งเป็นสินค้าปกติ ส่วนอีกแบรนด์เป็นสินค้าจากธรรมชาติ มีความเป็นไปได้สูงว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากธรรมชาตินั้นจะถูกซื้อไปใช้สูง ทำให้ช่วงระยะหลังมานี้ได้มีเจ้าของแบรนด์หลายรายไม่ว่าจะเป็นเจ้าเก่าหรือเจ้าใหม่ หันมาผลิตอาหารเสริมหรือผลิตเครื่องสำอาง ที่เป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์แบบธรรมชาติ ซึ่งผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินั้นคืออะไร และดีอย่างไร วันนี้ทาง Kovic จะพาไปรู้จักกับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติกัน

ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ คืออะไร

ถ้าอยากจะเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ หรือแม้แต่ผู้ที่สนใจอยากจะลองทำ แต่ยังไม่รู้จักกันผลิตภัณฑ์ประเภทนี้เลยว่าคืออะไร ก็อาจทำให้การมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องยากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นการจะเริ่มสร้างแบรนด์ ควรทำความรู้ก่อนว่าผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติคืออะไร

ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินั้น คือ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นจากส่วนประกอบที่เป็นสารสกัดที่มีต้นกำเนิดมาจากธรรมชาติมากกว่า 95% ของส่วนประกอบทั้งหมด ต้องไม่เติมน้ำหอมสังเคราะห์ สี ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งสารสกัดจากธรรชาติเหล่านั้นสามารถแบ่งได้ 2 ลักษณะดังนี้

  • สารสกัดจากธรรมชาติ นั้นจะต้องได้มาจากธรรมชาติ (Natural) น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันหอมระเหย
  • สารสกัดจากธรรมชาติ นั้นจะต้องมีต้นกำเนิดมาจากธรรมชาติ แต่อาจมีการกระบวนการผลิตบางอย่างที่ดัดแปลง จนได้ออกมาเป็นสารชนิดหนึ่ง (Natural Origin) เช่น Sodium Coco Glucoside ซึ่งเป็นสารสกัดที่มีต้นกำเนิดมาจากมะพร้าวเป็นต้น

จากข้อมูลข้างต้นก็พอจะเห็นภาพแล้วว่า ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินั้นค่อนข้างบริสุทธิ์ และอาจส่งผลเสียอันเกิดจากสารเคมีได้น้อยมาก ทำให้หลายคนให้ความสนใจและไว้วางใจการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง

ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติดีอย่างไร

ลดการระคายเคือง

สารเคมี สีสังเคราะห์ และสารอื่น ๆ ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ผื่นแดง หรือสิวได้ บางคนอาจแพ้สารเคมีทั่วไปที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาด ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อดูแลผิวน่าจะเป็นทางเลือกที่สวยงามและยั่งยืนกว่า

ไม่มีผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์

เพื่อเป็นการยืดอายุของผลิตภัณฑ์ จึงมีการใช้พาราเบน (Paraben) ในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม แต่พาราเบนเป็นสารสังเคราะห์ที่เลียนแบบการทำงานของฮอร์โมนในร่างกาย จึงเป็นสิ่งที่กังวลว่าสารชนิดนี้อาจส่งผลต่อระบบเอ็นดอร์คริน (เซลล์ที่ผลิตฮอร์โมน) สารเหล่านี้อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงที่ยังไม่ทราบแน่ชัด

ดีต่อระบบทางเดินหายใจ

กลิ่นสังเคราะห์ที่ใส่ลงไปในผลิตภัณฑ์เพื่อกลบกลิ่นสารเคมี นั่นหมายถึงว่าใช้สารเคมีชนิดหนึ่งกลบกลิ่นของสารเคมีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อสูดดมแล้วอาจทำให้ปวดศีรษะได้ ส่วนผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมีกลิ่นจากส่วนประกอบของธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี และบางชนิดที่ผสมเอสเชนเชียออยล์ธรรมชาติก็ทำให้มีกลิ่นหอมที่ช่วยให้ผ่อนคลายอีกด้วย

ดีต่อร่างกายระยะยาว

ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ผลิตด้วยกระบวนการที่เหมาะสม ดีกว่าผลิตภัณฑ์จากสารเคมีเพราะไม่มีสารเติมเต็มหรือสารก่อให้เกิดการระคายเคือง รวมถึงไม่มีส่วนผสมใด ๆ ที่มีผลการวิจัยระบุว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แม้ว่าสารสังเคราะห์อาจดูเหมือนให้ผลชัดเจนกว่าในช่วงแรกแต่หากใช้ไปนาน ๆ สารเคมีอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ มีผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า 60% ของสิ่งที่ทาลงไปบนผิวจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจึงควรเลือกผลิคภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติแทนที่จะเป็นสารสังเคราะห์ที่มีความเสี่ยง

ดีต่อสิ่งแวดล้อม

ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสารเคมีอาจมีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งปล่อยสารเคมีสู่อากาศและแหล่งน้ำ และยังปล่อยลงท่อน้ำทั้งเวลาใช้ที่บ้านอีกด้วย แต่ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากส่วนประกอบจากธรรมชาติ ก็จะปล่อยสารเคมีสู่สิ่งแวดล้อมน้อยลง และควรใช้ส่วนผสมที่สามารถย่อยสลายได้ในสิ่งแวดล้อมและใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงไม่ควรมีการทดลองผลิตภัณฑ์ใด ๆ กับสัตว์โดยเด็ดขาด

ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติน่าทำแบรนด์

  • ยาหม่อง ปัจจุบันคนเริ่มหันใจสนใจสมุนไพรเพื่อบำบัดและรักษามากขึ้น ด้วยสรรพคุณของสมุนไพรธรรมชาติ จนเห็นได้ว่าทุกบ้านในไทยนั้นมักจะมี “ยาหม่อง” ติดบ้านไว้เสมอ เพื่อลดรอยช้ำหรือคลายปวดเมื่อย บ้างก็ซื้อไว้เพื่อสูดดมความเย็น แก้วิงเวียนศีรษะได้ดี
  • แฮนด์ครีม ในปัจจุบันที่ทั่วโลกประสบกับปัญหา COVID-19 จึงจะต้องหมั่นล้างมื้อด้วยแอลกอฮอล์เจล แต่เมื่อใช้ในเวลานานก็ส่งผลให้มือแห้งและลอกได้ ดังนั้นจึงจะต้องมีการบำรุงมือเป็นประจำ สามารถทำได้ด้วยการทา “แฮนด์ครีม” จึงทำให้แฮนด์ครีมเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจในการสร้างแบรนด์
  • น้ำมันหอมระเหย เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่นิยมในร้านนวดสปา เนื่องจากมีผลวิจัยว่ามีส่วนช่วยในการบำบัดร่างกายและจิตใจได้ นอกจากนี้น้ำมันหอมระเหยยังสามารถนำไปเป็นส่วนผสมในการแต่งกลิ่นสินค้าได้อีกมากมายเช่น น้ำมันนวด ยาสระผม แฮนด์ครีม โลชั่นบำรุงผิวเป็นต้น

สรุป

ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินั้นค่อนข้างมีความปลอดภัย เนื่องจากมีสารกกัดจากธรรมชาติมากกว่า 95 % ปราศจากการตกแต่งกลิ่นและสีสังเคราะห์ รวมไปถึงปราศจากสารอันตรายปนเปื้อน ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงได้รับความสนใจของผู้บริโภคอย่างมาก

โดย #โควิก โรงงานอาหารเสริมแบบ OEM รับผลิตอาหารเสริมตามความต้องการของลูกค้า พร้อมด้วยบริการแบบ One – Stop Service ที่บริการแบบครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน ในการสร้างแบรนด์อาหารเสริมของตัวเอง นอกจากนี้ทางโรงงานยังรับผลิตครีม รับผลิตสบู่ และรับผลิตยาสมุนไพรอีกด้วย

แหล่งที่มา

www.skinpower.co.th

oem.thaimedicos.com

ผลิตครีม

ประเภทสกินแคร์ เรื่องควรรู้ก่อนทำแบรนด์

ประเภทสกินแคร์ เรื่องควรรู้ก่อนทำแบรนด์

สกินแคร์ เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าสนใจมากในปัจจุบัน เนื่องจากคุณสมบัติต่าง ๆ ของสกินแคร์แต่ละแบรนด์ที่ผลิตออกมาสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ซึ่งในปัจจุบันผู้คนก็หันมาสนใจเรื่องของผิวหน้า ผิวพรรณกันมากขึ้น การบำรุงผิวหรือดูแลผิวจากปัญหาต่าง ๆ ทำให้สกินแคร์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

ผลิตครีม

เมื่อเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ก็ย่อมมีความต้องการมากขึ้น ทำให้แบรนด์สกินแคร์มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว และยังมีผู้ที่สนใจที่จะเริ่มทำแบรนด์สกินแคร์เป็นของตัวเองอีกมากมาย แต่ก่อนที่จะเดินเข้าโรงงานเพื่อสั่งผลิตสินค้านั้น ควรจะต้องรู้ก่อนว่าสกินแคร์นั้นมีกี่ประเภท

เพราะสกินแคร์นั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ไม่เหมือนกับอาหารเสริม เนื่องจากจะต้องดูว่าสกินแคร์ที่เราต้องการผลิตนั้น เพื่อลูกค้ากลุ่มไหน ผิวหน้าของลูกค้าเป็นอย่างไร ผิวมัน ผิวแห้ง หรือผิวผสม ซึ่งถ้าหากเราเลือกประเภทของสกินแคร์ไม่เหมาะกับสภาพผิวหน้าของกลุ่มลูกค้า นอกจากจะไม่สามารถสร้างยอดขายได้แล้ว อาจจะขาดทุนย่อยยับเลยก็ได้ ดังนั้นควรเลือกสกินแคร์ให้ถูกประเภทกับกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ โดยในวันนี้ทาง Kovic จะพาไปรู้จักประเภทของสกินแคร์กัน

สกินแคร์คืออะไร

สกินแคร์ คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประเภทหนึ่งที่มีการบำรุงที่ล้ำลึกไม่ว่าจะเป็นบำรุงผิวในเรื่องของริ้วรอย จุดด่างดำ สิว และการปรับสภาพผิวให้ขาวกระจ่างใส ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกใช้อย่างมากมาย ตัวอย่างเช่น น้ำตบ เซรั่ม โทนเนอร์ ที่ช่วยปรับสภาพผิวได้ดีกว่าการล้างหน้าแล้วทาครีมอย่างเดียว ด้วยความที่ประสิทธิภาพการบำรุงที่ดีและอ่อนโยน เห็นผลได้อย่างชัดเจนทำให้หลาย ๆ คนจึงนิยมใช้สกินแคร์ในการบำรุงผิวหน้า

ประเภทของสกินแคร์

สกินแคร์นั้นมีหลากหลายประเภทด้วยกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการและผิวพรรณของผู้บริโภค จึงทำให้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์มีมากมาย ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่าก่อนที่จะต้องผลิตสกินแคร์ออกมานั้น จะต้องรู้ถึงประเภทของสกินแคร์ก่อน เพื่อผลิตสินค้าออกมาตรงความต้องการและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากที่สุด โดยประเภทของสกินแคร์มีดังต่อไปนี้

  • เมคอัพรีมูฟเวอร์ (Makeup Remover)
  • คลีนเซอร์ (Cleanser)
  • โทนเนอร์ (Toner)
  • เอสเซนส์ (Essence)
  • เซรั่ม (Serum)
  • อีมัลชั่น (Emulsion)
  • โลชั่น (Lotion)
  • ครีม (Cream)
  • ผลิตภัณฑ์กันแดด (Sunscreen)

เมคอัพรีมูฟเวอร์ (Makeup Remover)

เมคอัพรีมูฟเวอร์ (Makeup Remover) หรือคลีนซิ่ง (Cleansing) คือ ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอาง มีลักษณะเป็นของเหลวเช่น ออยล์ เจล น้ำ เป็นต้น วิธีใช้มีทั้งแบบหยดลงบนสำลีแล้วเช็ดทำความสะอาด หรือนวดลงบนผิวหน้าแล้วค่อยใช้สำลีล้างออก เป็นการทำเพื่อล้างเครื่องสำอางเหมาะอย่างยิ่งกับกลุ่มลูกค้าที่แต่งหน้าแล้วต้องลงรองพื้น บีบี ไพรเมอร์ รวมไปถึงครีมกันแดด

เนื่องจากเมคอัพรีมูฟเวอร์จะช่วยเช็ดเครื่องสำอางเหล่านี้ออกจนหมดก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการล้างหน้าด้วยครีนเซอร์ ทำให้เครื่องสำอาง สิ่งสกปรก ความมันไม่อุดตันบนผิวหน้า เมคอัพรีมูฟเวอร์มีหลายประเภทให้เลือก ดังนี้

  • คลีนซิ่งวอเตอร์ (Cleansing Water) มีลักษณะเป็นน้ำใส ๆ มีส่วนผสมของน้ำมันน้อยมากจึงเหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเหนอะหนะ แต่สำหรับเครื่องสำอางชนิดกันน้ำอาจทำความสะอาดได้ไม่หมด ควรใช้คลีนซิ่งชนิดอื่นทำความสะอาดก่อน
  • คลีนซิ่งมิลค์ (Cleansing Milk) ลักษณะภายนอกเหมือนคลีนซิ่งวอเตอร์ แต่มีส่วนผสมของน้ำมัน เหมาะกับการล้างเครื่องสำอางแบบกันน้ำ
  • คลีนซิ่งเจล (Cleansing Gel) มีลักษณะเป็นเจล ทั้งแบบเจลสีขุ่นและเจลใส เหมาะทำความสะอาดในวันที่แต่งหน้าเบา ๆ ไม่ลงรองพื้น

คลีนเซอร์ (Cleanser)

คลีนเซอร์ คือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าหลังจากที่ล้างเครื่องสำอางออกแล้ว คลีนเซอร์จะทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ยังตกค้างในรูขุมขน และควรใช้ในทุกเช้าหลังตื่นนอน ไม่ใช่เฉพาะหลังล้างเครื่องสำอาง คลีนเซอร์มีหลายประเภท เช่น

  • สบู่ก้อน (Soap) สบู่ล้างหน้า ที่สามารถล้างสิ่งสกปรกได้อย่างหมดจดเพราะมีค่า pH สูง แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ไม่เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีผิวแห้ง
  • เจลล้างหน้า (Gel) เจลล้างหน้ามีทั้งแบบมีฟองและไม่มีฟอง ใช้นวดทำความสะอาดทั่วใบหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่มีผิวมัน
  • โฟมล้างหน้า (Foam) เป็นคลีนเซอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีลักษณะคล้ายเนื้อครีม มักตีให้เกิดฟองฟู ๆ ก่อนนำมานวดบนผิวหน้าแล้วล้างออก แต่โฟมบางชนิดก็ไม่มีฟอง

โทนเนอร์ (Toner)

โทนเนอร์ คือสิ่งที่จะช่วยเก็บกวาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างเป็นขั้นตอนสุดท้าย หลังจากทำความสะอาดหน้าและเตรียมความพร้อมของผิวสำหรับการบำรุงด้วยสกินแคร์ โทนเนอร์มีลักษณะเป็นโลชั่นเนื้อบาง และมักมีวิตามินและเกลือแร่บำรุงผิว

เอสเซนส์ (Essence)

เอสเซนส์ หรือที่หลายคนเรียกติดปากกันว่าน้ำตบ คือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในขั้นแรก มีลักษณะเป็นน้ำเหลวใส เบาบาง ส่วนผสมไม่เข้มข้นเท่าเซรั่ม จึงซึมสู่ผิวได้เร็วกว่า และเหมาะกับทุกสภาพผิว

เซรั่ม (Serum)

เซรั่ม คือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีเนื้อเข้มข้นกว่าเอสเซนส์ จึงเห็นผลได้ไวกว่า เซรั่มมีส่วนผสมของน้ำมัน จึงไม่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่มีผิวมัน เซรั่มสามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างเจาะจงเช่น แก้ปัญหาสิว ริ้วรอย จุดหมองคล้ำ

อีมัลชั่น (Emulsion)

อีมัลชั่น คือมอยส์เจอไรเซอร์ที่เนื้อบางเบา มีส่วนผสมของโลชั่นและครีมแต่ออกไปทางโลชั่นมากกว่า เหมาะทั้งกลุ่มลูกค้าผิวแห้ง และผิวมัน เพราะอีมัลชั่นช่วงคงความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งสำหรับผิวมันเกิดจากผิวขาดน้ำ รูขุมขนจึงผลิตน้ำมันออกมา การเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยอีมัลชั่นจะลดความมันบนใบหน้าได้

โลชั่น (Lotion)

โลชั่น ไม่ใช่สกินแคร์สำหรับบำรุงผิวกายเท่านั้น แต่ยังบำรุงผิวหน้าได้ด้วย ซึ่งจะมีเนื้อที่เข้มข้นกว่าอีมัลชั่นเพราะมีน้ำมันมากกว่า แต่จะเหลวกว่าเดิมเนื้อครีม การทาโลชั่นช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยเคลือบผิวชั้นนอกเพื่อลดการสูญเสียน้ำ เหมาะทั้งผิวธรรมดาและผิวผสม

นอกจากนี้สกินแคร์ทางฝั่งเอเชียก็มีผลิตภัณฑ์โลชั่นที่เป็นน้ำคล้ายโทนเนอร์และเอสเซนส์ ซึ่งไว้ใช้เป็นน้ำตบได้เช่นกัน

ครีม (Cream)

ครีม เป็นสกินแคร์ที่ได้รับความนิยมที่สุด และมีส่วนผสมของน้ำมันเยอะที่สุด จึงมีเนื้อเข้มข้นที่สุด แม้จะใช้เวลาในการซึมซาบสู่ผิวนานกว่าแบบอื่น ๆ แต่ก็ช่วยคงความชุ่มชื้นได้ดีที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง หรือทาในช่วงอากาศหนาว เพราะมีน้ำมันช่วยเคลือบผิวป้องกันการสูญเสียน้ำ

ผลิตภัณฑ์กันแดด (Sunscreen)

ผลิตภัณฑ์กันแดด เป็นสกินแคร์ที่ใช้ในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี (Ultraviolet Radiation: UV) เนื่องจากรังสียูวีจะทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวเหี่ยวย่น และยังทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำ และฝ้ากระตามมา ถ้าร้ายแรงก็อาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังด้วย

ซึ่งผลิตภัณฑ์กันแดดจะมีทั้งแบบดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตเอาไว้ กับแบบที่สะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลตออกไป และยังมีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งแบบครีม โลชั่น เจล ขี้ผึ้ง และสเปรย์

สรุป

ผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือดูแล บำรุงและแก้ไขปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น ริ้วรอย สิว และจุดด่างดำ อย่างเห็นผล ดังนั้นสำหรับเจ้าของแบรนด์สกินแคร์มือใหม่ ควรพิจารณาถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจน และเลือกประเภทสกินแคร์ให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างชัดเจน

โดย #โควิก โรงงานอาหารเสริมแบบ OEM รับผลิตอาหารเสริมตามความต้องการของลูกค้า พร้อมด้วยบริการแบบ One – Stop Service ที่บริการแบบครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน ในการสร้างแบรนด์อาหารเสริมของตัวเอง นอกจากนี้ทางโรงงานยังรับผลิตครีม รับผลิตสบู่ และรับผลิตยาสมุนไพรอีกด้วย

แหล่งที่มา

www.lifestyleissue.com

beauty-worthen.com

รับผลิตอาหารเสริม

ขั้นตอนในการตรวจสอบความปลอดภัยอาหารเสริมและเครื่องสำอาง

ขั้นตอนในการตรวจสอบความปลอดภัยอาหารเสริมและเครื่องสำอาง

ในปัจจุบันตลาดอาหารเสริมและเครื่องสำอางนั้นมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด เนื่องจากมีแบรนดืใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้หันไปทางไหนก็เห็นแบรนด์อาหารเสริมและเครื่องสำอางมากหน้าหลายตา แบรนด์บางอาจเป็นที่รู้จัก หรือบางแบรนด์ก็ไม่เป็นที่รู้จักเลย แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์ของแต่ละแบรนด์นั้นมี “ความปลอดภัย” หรือไม่

รับผลิตอาหารเสริม

ความปลอดภัยที่กล่าวถึงก็คือ เมื่อเราทำการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือเครื่องสำอาง สามารถทานหรือใช้ได้อย่างปลอดภัย ไม่มีการใส่สารอันตรายที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกายในทางใดทางหนึ่ง แต่ในยุคที่ผลิตอาหารเสริมและเครื่องสำอางเกลื่อนตลาด ก็จะมีบางแบรนด์ที่แอบใส่สารอันตรายเพื่อให้ผลิตภัณฑ์สามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างยอดขายได้

ถ้าหากเรานั้นทานหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารอันตรายผสมอยู่ก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ดังนั้นเมื่อคิดจะซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือเครื่องสำอางจึงจะต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยก่อนที่จะทำการซื้อ โดยในวันนี้ทาง Kovic ก็ได้มีขั้นตอนในการตรวจสอบความปลอดภัยอาหารเสริมและเครื่องสำอางมาฝาก เพื่อใช้ในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่เราสนใจ

ทำไมต้องตรวจสอบความปลอดภัยก่อนซื้อ

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า อาหารเสริมและเครื่องสำอางในท้องตลาดนั้นมีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ ทานหรือใช้แล้วมีประสิทธิภาพก็ถูกปะปนอยู่กับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพ มีการใส่สารอันตรายเพื่อให้เห็นผลรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ก็อาจส่งเสียต่อร่างกายได้ และเราก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ที่เราซื้อมานั้นปลอดภัยหรือไม่ หากไม่ทำการตรวจสอบความปลอดภัยการซื้อกว่าจะรู้ตัวว่าซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาก็อาจสายเกินไปได้

ขั้นตอนในการตรวจสอบความปลอดภัยอาหารเสริมและเครื่องสำอาง

  • ดูจากอย. หรือเลขจดแจ้ง
  • อ่านรายละเอียดบนฉลาก
  • อ่านวิธีการใช้
  • อ่านคำเตือน
  • ทดสอบอาการแพ้
  • ซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

ดูจากเลขอย. หรือเลขจดแจ้ง

ถือเป็นขั้นตอนแรกและเป็นขั้นตอนที่นิยมในการตรวจสอบความปลอดภัยในอาหารเสริมและเครื่องสำอาง เพราะการที่ผลิตภัณฑ์สักตัวจะสามารถนำออกมาจำหน่ายได้ ไม่ใช่แค่เดินไปสั่งที่โรงงานแล้วจะได้ผลลิตภัณฑ์ออกมาจำหน่ายได้เลย เนื่องจากจะต้องทำเรื่องขอเลขจดแจ้งหรือที่เรารู้จักกันในชื่อเลข อย. กับสำนักงานคณะกรรมอาหารและยา หรือ อย. ก่อน

ซึ่ง อย. นั้นจะทำการตรวจสอบหาสารอันตรายต่าง ๆ ในอาหารและยาให้แน่ชัดก่อนว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นไม่ได้มีส่วนผสมของสารอันตรายใด ๆ แล้วจึงอนุมัติเลขจดแจ้งเพื่อรับรองว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ปลอดภัย สามารถทานได้ โดยวิธีตรวจสอบนั้นเพียงแค่นำเลขจดแจ้งที่ติดอยู่กับผลิตภัณฑ์ไปตรวจสอบในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ของทางอย. หากตรวจสอบแล้วชื่อผลิตภัณฑ์ที่ปรากฏตรงกับผลิตภัณฑ์ที่เรากำลังตรวจสอบก็เป็นการรับรองได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ปลอดภัย

อ่านรายละเอียดบนฉลาก

หากแบรนด์นั้นปลอดภัยจริง จะต้องไม่มีอะไรที่ปกปิดเรา เพราะฉะนั้นเราควรอ่านรายละเอียดบนฉลากอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น

  • ส่วนผสม เพราะถ้าหากมีส่วนผสมที่เราทานแล้วแพ้จะได้มีการหลีกเลี่ยงได้ อย่างคอลลาเจนที่สกัดมาจากปลาทะเล ผู้ที่แพ้อาหารทะเลไม่ควรทาน
  • วัน/เดือน/ปี ที่ผลิตและหมดอายุ เพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ค้างสต็อก หรือหมดอายุไปแล้วแต่ยังนำมาขายอยู่
  • ชื่อ ที่อยู่ของโรงงานผลิต หรือบริษัทนำเข้า เพื่อเป็นการยืนยันว่ามีการผลิตจากโรงงานที่มีคุณภาพเชื่อถือได้

ถ้าหากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือเครื่องสำอางที่ไม่มีการบอกรายละเอียดดังกล่าวหรือบอกแบบกำกวม ให้พิจารณาไว้ก่อนได้เลยว่าอาจไม่ปลอดภัย

อ่านวิธีใช้

ขั้นตอนนี้อาจไม่สามารถบอกได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นปลอดภัยได้มากเท่าที่ควร แต่ก็การบอกถึงการบริโภคผลิตภัณฑ์ได้ดี ว่าผลิตภัณฑ์ควรใช้หรือทานอย่างไร เช่นทานวันละ 1 เม็ดหลังอาหารเช้า เป็นต้น แต่ถ้าหากไม่มีการบอกวิธีการใช้ ให้พิจารณาไว้ก่อนว่าผลิตภัณฑ์อาจไม่ปลอดภัย

อ่านคำเตือน

เพื่อความปลอดภัยในการใช้ หากตรวจสอบแล้วว่าผลิตภัณฑ์ที่เราใช้มีแหล่งผลิตที่วางใจได้ ก็ควรอ่านรายละเอียดวิธีใช้ หรือวิธีรับประทาน และอย่าลืมอ่านคำเตือน เพราะเครื่องสำอางบางประเภทก็ห้ามใช้กับอวัยวะบางส่วนเช่น ห้ามทารอบดวงตาเป็นต้น

ทดสอบอาการแพ้

เครื่องสำอางทุกชิน แม้จะถูกผลิตมาอย่างถูกต้อง มีเลขอย. แต่ก็อาจมีส่วนผสมที่เราแพ้ได้เหมือนกัน ซึ่งถ้าหากไม่แน่ใจก่อนใช้ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนโดยการทาบริเวณผิวหนังที่อ่อนเช่น ที่ข้อพับแขนเป็นต้น

ซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

ก็อย่างที่บอกว่าอาหารเสริมและเครื่องสำอางหมีจำหน่ายอยู่เต็มตลาด ตั้งแต่เคาน์เตอร์แบรนด์ไปจนถึงแผงตลาดนัด และที่สำคัญปัจจุบันตลาดไม่ได้อยู่แค่บนดินอีกต่อไป เนื่องจากมีตลาดออนไลน์ที่สามารถซื้อขายได้โดยไม่ได้เดินจากบ้าน เพียงแค่กดโทรศัพท์อยู่บ้านก็สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้การตรวจสอบความปลอดภัยอาจเป็นเรื่องที่ยากขึ้น

ดังนั้นจึงควรซื้อผลิตภัณฑ์จากแหล่งที่เชื่อถือได้ วิธีการง่าย ๆ คือให้สังเกตเครื่องหมาย DBD ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ได้เลยว่าเว็บไซต์ที่เราสั่งซื้อนั้น ได้มีการจดทะเบียนรับรองไว้หรือไม่ โดยการคลิกที่เครื่องหมายแล้วจะปรากฏเป็นหน้าเว็บรับรองการจดทะเบียน แต่ถ้าไม่มีขอแนะนำว่าอย่าเสี่ยงจะดีที่สุด หรือแม้แต่การซื้อสินค้าในไลน์และไอจี ควรขอดูสินค้าหรือถ่ายเลยอย.มาให้ตรวจสอบก่อนสั่งซื้อจะดีกว่า

สรุป

การบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือเครื่องสำอางที่มีคุณภาพนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อร่างกาย เพราะร่างกายจะสามารถนำสารสกัดที่เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลและบำรุงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาหารเสริมหรือเครื่องสำอางที่มีคุณภาพนั้นย่อมมาจากโรงงานผลิตที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานต่าง ๆ รับรอง ดังประโยคที่ว่า “โรงงานมีคุณภาพ สินค้าที่ออกมาก็มีคุณภาพเช่นกัน”

ซึ่ง Kovic เป็นโรงงานผลิตอาหารเสริมและเครื่องสำอางที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานต่าง ๆ รับรอง อาทิ ISO 9001:2015, GMP, HACCP, HALAL และ อย. สามารถผลิตสินค้าออกมาได้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของเจ้าของแบรนด์

โดย #โควิก โรงงานอาหารเสริมแบบ OEM รับผลิตอาหารเสริมตามความต้องการของลูกค้า พร้อมด้วยบริการแบบ One – Stop Service ที่บริการแบบครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน ในการสร้างแบรนด์อาหารเสริมของตัวเอง นอกจากนี้ทางโรงงานยังรับผลิตครีม รับผลิตสบู่ และรับผลิตยาสมุนไพรอีกด้วย

แหล่งที่มา : www.derma-innovation.com

ผลิตเครื่องสำอาง

รวมสมุนไพรในเครื่องสำอางขัดผิว

รวมสมุนไพรในเครื่องสำอางขัดผิว

ผิวพรรณ เป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะผู้หญิงนั้น การมีผิวพรรณการเนียนสวย  ขาว กระจ่างใส ถือเป็นสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ปรารถนา ซึ่งกว่าจะมีผิวพรรณตรงตามความต้องการก็ต้องมีการดูแลผิว โดยตัวช่วยในการดูแลและบำรุงผิวพรรณก็คือ เครื่องสำอางขัดผิว

ผลิตเครื่องสำอาง

เครื่องสำอางขัดผิว ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการช่วยให้ผิวขาว กระจ่างใส และเนียนสวย ทำให้มีเจ้าของแบรนด์หลายรายหันมาสนใจและผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางขัดผิวออกมาแข่งขันกัน ซึ่งผลิตภัณฑ์แต่ละตัวนั้นก็มีหลากหลาย แต่ที่นิยมนำมาใช้ผลิตมากที่สุดก็คือ สมุนไพร

สมุนไพรที่นิยมนำมาผลิตเครื่องสำอางขัดผิว หลายตัวนั้นสามารถหาได้ใกล้ ๆ ตัวในประเทศไทย แต่ตัวก็เป็นของประเทศจีน แต่ก็มีขายในประเทศไทย วันนี้ทาง Kovic เลยได้รวบรวมสมุนไพรสำหรับผลิตเครื่องสำอางขัดผิวมาฝากสำหรับเจ้าของแบรนด์หรือผู้ที่สนใจผลิตเครื่องสำอางขัดผิว

มะขาม

มะขามเป็นสมุนไพรไทยพื้นฐานที่คนไทยนิยมเอามาขัดตัวเป็นเวลานาน สามารถนำมาผลิตเป็นเครื่องสำอางประเภทสบู่ ครีมทาผิว ครีมขัดผิว ประโยชน์ของมะขามคือสามารถช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสอยู่ตลอดเวลา วิตามินซีจากมะขามนั้นสามารถช่วยในการชะลอวัย และการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัย ส่วนแคลเซียมจากมะขามจะช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น และในมะขามยังมีธาตุเหล็กที่สามารถช่วยในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือดอีกด้วย

เห็ดหลินจือ

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ สามารถนำมาสกัดเพื่อนำไปผลิตอาหารเสริมได้ เนื่องจากสามารถช่วยรักษาโรคลมบ้าหมู แก้อาการอาหารเป็นพิษได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในเรื่องผิวพรรณอีกด้วย โดยช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สีหน้าแจ่มใส ชะลอวัย

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ ตัวช่วยด้านดูแลผิวพรรณ นิยมนำมาทำเครื่องสำอางที่ช่วยดูแลด้านผิวพรรณ และการรับประทานโดยใช้ส่วนที่เป็นวุ้นของว่านหางจระเข้ที่ล้างน้ำสะอาดแล้ว วุ้นของว่านหางจระเข้ช่วยรักษา และบรรเทาอาการจากการถูกน้ำร้อนลวก ฝี ริดสีดวงทวาร แผลไฟไหม้ สมานแผล และด้านเครื่องสำอางคือ ทำให้หน้ากระจ่างใส ป้องกันผิวแห้ง ลดความมัน

ขมิ้น

ขมิ้นเป็นสมุนไพรที่นิยมนำมาผลิตเป็นเครื่องสำอางขัดผิวพอ ๆ กับมะขาม ซึ่งขมิ้นนั้นมีประโยชน์มากกว่าการบำรุงผิว โดยช่วยให้ขาวเนียนแลดูอ่อนเยาว์พร้อมปกป้องและลดริ้วรอยอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยคุณสมบัติพิเศษในการเป็น Super Anti-Oxidant

โสม

โสมสมุนไพรจีนโบราณฟื้นฟูผิว สามารถนำมาเป็นสมุนไพรทำเครื่องสำอางขัดผิวหน้าขาวใส ไร้จุดด่างดำ เนื่องจากโสมอุดมไปด้วยแร่ธาตุจากธรรมชาติ และวิตามิน สามารถช่วยยกกระชับผิว มีส่วนช่วยในการยับยั้ง ต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มพลังงานให้แก่เซลล์ผิว ช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรง ชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ และฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้น

สามารถช่วยลดรอยเหี่ยวย่นให้ดูอ่อนกว่าวัย เปล่งปลั่ง ผิวดูกระชับ เร่งการหลุดลอกของเซลล์ผิวเก่าที่กำลังเสื่อมสภาพและช่วยสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหน้าดูเนียน ขาว สดใส สามารถช่วยลดปัญหาสิว ใช้ได้ปลอดภัยต่อทุกสภาพผิว แม้ในผิวที่บอบบางแพ้ง่าย ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น เนียนนุ่ม น่าสัมผัส ทำให้สามารถเผยผิวสวย อวดผิวใส ได้อย่างมั่นใจ

บัวหิมะ

บัวหิมะ หรือที่เรียกกันว่า บัวหิมะพันปี หรือ บัวหิมะหมื่นปี เป็นพืชที่ขึ้นในที่สูงมีลักษณะดอกสีขาวหรือเขียวอ่อน จะงอกในบริเวณเขาสูงที่อุณหภูมิเย็นจัด หรือที่มีหิมะปกคลุม อย่างเทือกอัลไต หรือภูเขาคุนลุ้น ที่ราบสูงซินเกียงในประเทศจีน และต้องใช้เวลานานกว่า 3 ปีถึงจะเก็บเกี่ยวดอกได้ ดังนั้นบัวหิมะจึงเป็นดอกไม้ที่หายาก

บัวหิมะที่ส่วนช่วยในการสร้างเซลล์ผิว ความมหัศจรรย์จากธรรมชาติ สามารถนำมาผสมผสานทำเป็นเนื้อครีมได้อย่างลงตัว และด้วยคุณสมบัติพิเศษของบัวหิมะจากประเทศจีน จึงสามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบ การเผาไหม้จากการถูกแสงแดดแผดเผา สามารถช่วยบรรเทาแมลงสัตว์กัดต่อย และช่วยสมานผิวจากอาการแพ้แดง แสบ อันเองมาจากการแพ้เครื่องสำอางต่าง ๆ

ในบัวหิมะนั้น มีวิตามินอีเข้มข้น ช่วยสร้างเซลล์ผิวใหม่ผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวชั้นนอกให้ค่อย ๆ ขาว กระจ่างใส ขึ้นด้วยกลไกธรรมชาติ สามารถช่วยควบคุมความมันส่วนเกินช่วยลดปัญหาสิว และบำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื่น

ทับทิม

สารสกัดจากทับทิม ที่ดีต้องได้มาจากทั้งส่วนผสมทั้งเปลือก เนื้อและเมล็ด เพราะจะได้สารบำรุงที่แตกต่างกัน และทั้ง 3 ส่วนนี้ต่างอุดมไปด้วย สารแอนโธไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นเลิศ (Super Antioxidant) เท่าที่มีหรือสามารถเทียบได้กับไวน์แดง และชาเขียว

ซึ่งสารดังกล่าวมีส่วนช่วยในเรื่องการยับยั้งกระบวนการแก่ชราของร่างกาย ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยทั้ง 7 ประการบนผิวหนัง และยังช่วยลดการเกิดจุดด่างดำ และลดเม็ดสีผิวส่วนเกิน อีกทั้งในส่วนของเปลือกยังมีสารสำคัญหลายชนิดที่ช่วยกระชับรูขุมขน และลดความมันส่วนเกินที่ผิวได้ และยังลดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราได้ดีมาก

ในขณะที่เนื้อและเมล็ดจะมีกรด Ellagic ในปริมาณสูง และมีวิตามินแร่ธาตุจำนวนมาก อุดมไปด้วยกลุ่มสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยต่อต้านการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระ และช่วยบำบัดเซลล์จากการตกค้างของสารพิษโลหะหนักต่าง ๆ

สรุป

สมุนไพรแต่ละตัวมีความโดดเด่นและแตกต่างกันไป โดยเจ้าของแบรนด์หรือผู้ที่สนใจผลิตเครื่องสำอางขัดผิวนั้น สามารถเลือกใช้สมุนไพรต่าง ๆ ตามความต้องการในเรื่องของผลลัพธ์ หรือการแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์น่าสนใจหรือโดดเด่นกว่าคู่แข่ง

แหล่งที่มา : farmerspace.co

เวชสำอาง VS เครื่องสำอาง ต่างกันอย่างไร

เวชสำอาง VS เครื่องสำอาง ต่างกันอย่างไร

เพราะในปัจจุบัน ผู้คนหันมาสนใจเรื่องความสวยความงาม และผิวพรรณมากขึ้น ทำให้ธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางนั้นต่างพากันผลิตสินค้าออกมาเพื่อดึงลูกค้ามาไว้ในแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งจริง ๆ ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามที่เราพากันเรียกว่า “เครื่องสำอาง” ยังมีอีกคำที่หลายคนอาจเคยได้ยินคือคำว่า “เวชสำอาง”

ผลิตเครื่องสำอาง

ซึ่งเครื่องสำอาง และเวชสำอางนั้นมีความคล้ายคลึงกันอยู่ ทำให้มีหลายคนเกิดความสงสัยว่า 2 คำนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร และผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่นั้นเป็นเครื่องสำอางหรือเวชสำอางกันแน่ วันนี้ Kovic เลยชวนมาหาคำตอบกัน

เครื่องสำอางคืออะไร

เครื่องสำอาง ความหมายก็คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ไม่ว่าเพื่อให้เกิดความสวยงาม ปัด ทา ถู นวด และอีกมากมายเพื่อให้เกิดความสวยงาม แต่คุณสมบัติของเครื่องสำอาง จะไม่สามารถรักษา บำบัด บรรเทา หรือมีฤทธิ์ฝนการรักษาได้ ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนังได้ แต่สามารถปกปิดจุดด่างดำ รอยสิว บนผิวของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เวชสำอาง คืออะไร

เวชสำอาง มีคุณสมบัติเดียวกับเครื่องสำอาง แต่มีความสามารถในการรักษาอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น สิว, ริ้วรอย, จุดด่างดำ, ฝ้า กระ ให้กับผิวได้ คล้ายยา เลยทำให้ฤทธิ์ในการรักษา และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนังได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้จัดว่าเวชสำอางนั้นเป็นยา กล่าวง่าย ๆ คือ  เป็นเครื่องสำอางที่มีผลคล้ายยา แต่ไม่ใช่ยาเพราะไม่มีผลในการรักษาโรค ซึ่งแปลว่าเมื่อใช้แล้วจะมีผลการเปลี่ยนแปลงทางลักษณะภายนอกเช่น สิวลดลง ผิวดูตื้นขึ้น รอยสิวดูจางลงเป็นต้น

สรุปทั้งสองคำนั้นมีความแตกต่างกัน โดยเครื่องสำอางจะมีความสามารถใช้เพื่อให้เกิดความสวยงามเท่านั้น กลไกการทำงานด้านการบำรุงจะเห็นผลได้ช้ากว่า เวชสำอาง แต่ในส่วนของเวชสำอาง จะไม่เน้นเรื่องของการเสริมความงาม แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องของการรักษา ปัญหา เฉพาะที่เป็นจุดประสงค์หลัก แต่ไม่จัดเป็นยา

ตัวอย่างความแตกต่างของเวชสำอางและเครื่องสำอางของผลิตภัณฑ์

ผลิตภัณฑ์ประเภทให้ความความชุ่มชื้นกับผิว

เครื่องสำอาง : ครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นเพียงชั่วคราว และระเหยออกไป ต้องมีการทาใหม่เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอีกครั้ง แต่ไม่มีส่วนทำให้โครงสร้างของผิวหนัง แต่ไม่มีส่วนทำให้โครงสร้างของผิวหนังเปลี่ยนแปลงไป

เวชสำอาง : ครีมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหนังที่มีส่วนผสมในการปรับเปลี่ยนของโครงสร้างเซลล์ ทำให้ผิวสามารถกักเก็บน้ำได้ดียิ่งขึ้น เมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์ผิวบริเวณนั้นกักเก็บความชุ่มชื้นต่อไป ได้อย่างเป็นธรรมชาติจนกว่า เซลล์จะเสื่อมสภาพไป

ผลิตภัณฑ์ประเภทช่วยลดเลือนริ้วรอย

เครื่องสำอาง : ครีมหรือผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะทำหน้าที่เติมและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเพียงเท่านั้น ทำให้ผิวดูเต่งตึงหลังการใช้ แต่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เมื่อมีการระเหยของสารหล่อเลี้ยงผิว ผิวหนังบริเวณนั้นก็กลับมาแห้งและปรากฎริ้วรอยที่ชัดเจนดังเดิม

เวชสำอาง : ครีมหรือผลิตภัณฑ์ประเภทนี้สามารถเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเซลล์ผิวทำให้มีการกักเก็บสารหล่อเลี้ยงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวดูเรียบเนียนและริ้วรอยจะค่อย ๆ ลดเลือนไป

เวชสำอาง ควรเลือกใช้อย่างระมัดระวังในเรื่องของส่วนผสมและความน่าเชื่อถือ

ด้วยตัวยา อาจทำให้ทรงดีเป็นผลร้ายได้เหมือนกัน แต่ในปัจจุบันผลข้างเคียงก็ได้ลดทอนลงไปบ้างแล้วเพราะในสมัยนี้ ผู้ผลิตเวชสำอางจะเน้นเลือกใช้สารสกัดจากธรรมชาติมากขึ้น แต่ก็ยังแอบมี เวชสำอาง ที่ไม่ได้รับมาตรฐาน หรือ การรับรองออกมาจำหน่ายอยู่มากทางอินเทอร์เน็ต ด้วยการโฆษณาว่าเห็นผลอย่างรวดเร็ว แต่ข้อเสียคือถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานต่อกัน อาจจะเกิดผลเสียกับผิวที่ได้รับสารมากเกินไปจนอาจทำให้เกิดผิวบาง เป็นฝ้า กระได้ ดังนั้นถ้าหากสนใจเลือกซื้อเวชสำอางควรตรวจสอบให้ดีก่อนใช้

ใช้เวชสำอาง แล้วเกิดอาการแพ้ได้น้อยกว่าเครื่องสำอาง

ขอบอกว่าไม่เป็นความจริง เพราะอาการแพ้ขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเวชสำอาง หรือ เครื่องสำอาง ก็สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้เหมือนกัน แม้เจอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านผลการทดสอบในอาสาสมัครที่ผิวแพ้ง่ายแต่ไม่มีใครแพ้เลย ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าเราซื้อมาใช้แล้วจะไม่แพ้

ถ้าผู้บริโภคอยากทดลองว่าผิวจะแพ้ไหม โดยที่ไม่ต้องทดสอบที่ผิวหน้าเราโดยตรง ให้ลองทดสอบการแพ้ระคายเคืองที่ท้องแขน หรือหลังหูอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนใช้ ถ้ามีอาการผิดปกติเช่น ผื่นแดง สิวผดขึ้น ก็ถือว่าเป็นอาการแพ้

เลือกซื้อเครื่องสำอาง และเวชสำอางให้เหมาะกับตัวเอง

ในสมัยนี้เครื่องสำอาง และ เวชสำอาง หลายแบรนด์มาก ผู้บริโภคสามารถหาซื้อได้ง่ายไม่ยาก ดังนั้นควรศึกษาตัวผลิตภัณฑ์ตัวที่สนใจให้ดี เพื่อผิวขาวผู้บริโภคนั้นจะได้ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวแพ้หลังใช้

ผู้บริโภคควรตรวจสอบให้ดี เลือกเครื่องสำอางหรือเวชสำอางที่มีความปลอดภัยและได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานจาก อย. ตรวจเช็คส่วนผสมสำคัญ ถ้าเจอว่ามีส่วนผสมที่เป็นอันตรายควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะในเวชสำอาง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้หลังใช้ได้อีกเยอะ

สรุป

เครื่องสำอาง และเวชสำอาง ก็มีหลากหลายแบรนดืที่ดีไม่แพ้กัน สำคัญที่สุดคือต้องเลือกให้ถูกสภาพผิวตัวเอง รู้จักว่าผิวตัวเองเป็นอย่างไร ต้องดูแลแบบไหน เพราะไม่งั้นถึงจะใช้เครื่องสำอางดี ๆ เวชสำอางแพง ๆ ไปก็ไม่ได้ช่วยให้ผิวหน้าของผู้บริโภคดีขึ้นแน่นอน

โดย #โควิก โรงงานอาหารเสริมแบบ OEM รับผลิตอาหารเสริมตามความต้องการของลูกค้า พร้อมด้วยบริการแบบ One – Stop Service ที่บริการแบบครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน ในการสร้างแบรนด์อาหารเสริมของตัวเอง นอกจากนี้ทางโรงงานยังรับผลิตครีม รับผลิตสบู่ และรับผลิตยาสมุนไพรอีกด้วย

แหล่งที่มา : www.wemall.com

คำโฆษณาต้องห้าม พาแบรนด์พังไม่รู้ตัว

คำโฆษณาต้องห้าม พาแบรนด์พังไม่รู้ตัว

การมีแบรนด์สักหนึ่งแบรนด์ กว่าจะสินค้าออกมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารเสริม เครื่องสำอางและสบู่ เพราะต้องผ่านการคิดค้นในส่วนต่าง ๆ อย่างมากมาย แต่เมื่อได้สินค้าออกมาพร้อมจำหน่ายแล้ว ก็จะต้องหาช่องทางให้ขายและทำให้สินค้าของแบรนด์เป็นที่รู้จักมากที่สุด ซึ่งหนึ่งในวิธีที่หลายแบรนด์นิยมใช้กันก็คือ การโฆษณา

โรงงานอาหารเสริม

ซึ่งการโฆษณานั้นก็สามารถทำได้หลากหลายช่องทาง ตามกำลังเงินทุนของแบรนด์ แต่เห็นกันอย่างแพร่หลายก็คงหนีไม่พ้น โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์อย่าง Facebook เนื่องจากในปัจจุบันผู้คนอยู่กับโทรศัพท์มือถือมากขึ้น ทำให้แบรนด์ที่มีเงินทุนไม่มากพอที่จะทำโฆษณาบนโทรทัศน์ จึงหันมาโฆษณาผ่านทางช่องทางนี้แทน เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว และมีจำนวนมาก

แต่ถ้าให้พูดถึงการโฆษณานั้น ย่อมมีสิ่งที่ควรต้องระวังนั่นก็คือ การโฆษณาเกินจริง สามารถเห็นได้จากข่าวที่แบรนด์อาหารเสริม เครื่องสำอางหรือสบู่ที่โดนจับเพราะใช้ “คำโฆษณาเกินจริง” เพราะฉะนั้นเวลาที่แบรนด์จะทำการโฆษณาสินค้าสักอย่างหนึ่ง ควรตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่ามีคำต้องห้ามต่าง ๆ หรือไม่ ซึ่งในวันนี้ทาง Kovic ได้รวบรวมคำโฆษณาต้องห้ามมาให้ดูกันว่ามีคำอะไรที่ห้ามใช้บ้าง

คำต้องห้าม ผิดกฎ ฆอ. ผิดกฎ Facebook

อย่างที่รู้กันดี เวลาที่จะทำการโฆษณาสักตัว ไม่ว่าจะเป็นใน Google หรือ Facebook ก็จะต้องผ่านการตรวจสอบจาก Facebook ก่อน จนทำให้พ่อค้า แม่ค้าหลายคนต่างพากันกุมขมับ กว่าจะผ่านได้แต่ละตัว เล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็น เพราะเนื้อหาและภาพที่จะต้องเผยแพร่สู่ Facebook ให้กับกลุ่มเป้าหมายเห็นนั้นจะต้องไม่มีภาพ โป๊เปลือย การแสดงถึงคววามรุนแรง การส่งเสริมอาชญากรรม หรือแม้แต่คำก็ต้องไม่มี “คำต้องห้ามทำโฆษณา” เด็ดขาด เมื่อใดที่เราต้องการทำโฆษณา ลองอ่านทบทวนอีกมีว่า คำโฆษณาของเรามีคำต้องห้ามเหล่านี้หรือไม่ โดยจะแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจกันง่ายขึ้น ว่าบริบทของแต่ละคำมันผิดกฎอย่างไร ทำไมถึงกลายเป็น คำต้องห้าม ซึ่งมีหมวดหมู่ดังต่อไปนี้

  • ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนัก
  • ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสบู่
  • รับสมัครตัวแทนจำหน่าย

การโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนัก

ถือเป็น 1 หมวดที่มีการเข้มงวดเรื่องการโฆษณามาก เพราะส่วนใหญ่ที่อย. มักจะจับสินค้าที่มีการโฆษณาเกินจริงส่วนมากจะเป็นอาหารเสริมลดน้ำหนัก เพราะอาหารเสริมประเภทนี้มีความน่าสนใจมากสำหรับผู้บริโภคพอ ๆ กับอาหารเสริมผิวใส โดยคำต้องห้ามโฆษณาของหมวดหมู่นี้คือ

  • อ้วน / ผอม
  • ระเบิดไขมัน
  • ไซซ์ใหญ่
  • ลดน้ำหนัก
  • ไม่โยโย่
  • ขาแขนใหญ่
  • ดื้อยา
  • ได้ผล 100%
  • คำที่ส่งผลต่อจิตใจ
  • ลดด่วน
  • อยากผอม
  • ผอมทันใจแน่นอน
  • เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้
  • เบิร์น
  • ทลายไขมัน
  • หุ่นดีกว่าเดิม
  • คำการันตีผล
  • ยินดีคืนเงิน

จะเห็นเลยว่าคำที่ห้ามใช้ส่วนใหญ่จะเป็นคำที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกทั้งนั้น ตามนโยบายของ Facebook เรื่องของการใช้ถอยคำรุนแรง ที่มีผลกระทบต่อจิตใจคนอื่น เช่น “แขน ขาใหญ่”, “ไซซ์ใหญ่” แม้บางคำฟังดูไม่ใช่คำรุนแรง แต่ว่าสำหรับคนที่มีรูปร่างใหญ่ น้ำหนักเยอะ คำพวกนี้ถือเป็นคำที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาได้

“ยินดีคืนเงิน” จริง ๆ แล้วคำนี้สามารถอยู่ในโฆษณาได้ แต่มีข้อแม้ว่า คุณต้องมีหลักฐานการคืนเงินที่แน่ชัด และมีขั้นตอนการคืนเงินที่ครบกระบวนการแนบมาด้วย ส่วนคำอื่น ๆ ที่กล่าวมาก็เข้าหลอกลวง อวดอ้างเกินจริง เลยไม่สามารถนำมาใช้ในการทำโฆษณาได้ ถึงแม้จะหัวใสเกิดไอเดียคิดคำหลบเลี่ยงโดยใช้ภาษาอังกฤษมาผสมคำ เช่น ผOม, ดื้Oยา Uวม เป็นต้น แต่ถึงแม้ว่าจะหัวใสแค่ไหน ก็ไม่รอด

การโฆษณาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสบู่

ผู้ประกอบการหรือเจ้าของแบรนด์มากมายนิยมทำผลิตภัณฑ์ประเภทนี้พอ ๆ กับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เพราะว่าเป็นสินค้าสิ้นเปลือง ใช้แล้วหมดไป ที่สำคัญต้นทุนในการผลิตร้อยเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ปนะเภทอื่น แต่อย่าลืมนะว่า ยิ่งสินค้าประเภทนี้มีเยอะในตลาดกฎและการควบคุมก็ต้องเยอะตามไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องคำต้องห้ามที่ไม่สามารถใช้ในการทำโฆษณาได้ ได้แก่

  • ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • ป้องกันการเกิดสิว
  • รักษาโรคผิวหนัง
  • รักษาโรคสะเก็ดเงิน
  • ขาวไว ขาวทันที ต้านอนุมูลอิสระ
  • ธรรมชาติ 100%
  • ลดรอยแดง
  • ลดรอยดำ
  • ลดรอยสิว
  • ลดฝ้ากระ
  • สลายฝ้า
  • เห็นผล….
  • ระบุวันเห็นผล
  • รับประกัน
  • จริง เช่น ขาวจริง
  • หน้าเรียว
  • คำการันตีผล
  • กระชับสัดส่วน
  • ไม่เห็นผลยินดีคืนเงิน

แน่นอนว่าสินค้าของคุณสามารถช่วยปัญหาที่กล่าวมาได้จริง ๆ มีลูกค้าใช้แล้วเห็นผลลัพธ์แบบนั้นจริง ๆ สามารถลดรอยแดง รอยดำ รอยสิวได้ แต่คุณสามารถพิสูจน์ได้หรือเปล่าว่า คนที่ใช้สินค้า 100 คน จะได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันทั้ง 100 คน ถ้าไม่ได้แสดงว่าคุณโฆษณาเกินจริงแล้ว

แล้วทำไมคำว่า “ขาว” ถึงใช้ไม่ได้ เพราะว่าคำนี้สามารถตีความการเหยียดสีผิวได้และอีกอย่างมนุษย์เราไม่สามารถเปลี่ยนสีผิวตัวเองได้ ทางที่ดีควรใช้คำเลี่ยง อย่างเช่น แลดูกระจ่างใส, แลดูสว่าง แทน ส่วนคำว่า “ธรรมชาติ 100%”  สาเหตุที่ไม่สามารถใช้ได้เพราะเป็นคำอวดอ้างเกินจริง สิ่งใด ๆ ในโลกนี้ถ้าผ่านกระบวนทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีทาง 100% จริง ๆ นอกจากคุณจะขยี้สมุนไพรแล้วเอามาแปะผิวโดยตรง อันนั้นแหละ 100% จริง ๆ อย่างที่บอก ถ้าผู้ใช้สินค้าไม่ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันทั้งหมด การใช้คำเหล่านี้มาโฆษณาถือว่าเป็นคำโฆษณาเกินจริงทั้งนั้น

การโฆษณาเพื่อรับสมัครตัวแทนจำหน่าย

เมื่อมีแบรนด์ก็ย่อมจะต้องการกระจายสินค้าไปสู่ตลาดให้เยอะที่สุด ซึ่งหนึ่งในวิธีนั้นก็คือ การมีตัวแทนจำหน่าย สำหรับเรื่องของการโฆษณารับตัวแทน เชื่อว่าผู้ประกอบการหรือเจ้าของแบรนด์เน้นโชว์ “ความรวย” เพื่อให้คนอยากสมัครเป็นตัวแทน การโชว์รวยไม่ผิด แต่การโชว์รวยที่มากเกินพอดี นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควร เพราะจะเข้าขายการโฆษณาเกินจริงได้

อีกอย่างที่ควรระวังคือ การใช้ถ้อยคำที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเครือข่ายตรง หรือแชร์ลูกโซ่ ซึ่งคำเหล่านั้นมีดังนี้ไปนี้

  • วิธีรวยเร็ว
  • ทำงานที่บ้านก็รวยได้
  • ทำงานประจำแล้วไม่รวย
  • ขายวันนี้ พรุ่งนี้รวย
  • งานสบาย ๆ รวยเร็วใน 1 เดือน
  • ใช้สิทธิจองรวย
  • รวบง่าย ๆ แค่คลิก
  • แค่ขายก็รวยแล้ว
  • รวยแบบไม่ทันตั้งตัว
  • รวยในข้ามคืน

ข้อความเหล่านี้ คือข้อความที่เป็นการโฆษณาที่เกินจริงมาก ๆ สำหรับการโฆษณารับตัวแทนคุณอาจจะใช้วิธีอื่นเพื่อดึงดูดใจ เช่น การยกเคสคนที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแรงบันดาลใจเป็นต้น

หยุดโฆษณาเกินจริง คงความน่าเชื่อถือให้แบรนด์อย่างยั่งยืน

“มาตรา 271 ผู้ใดขายของโดยหลอกลวงด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ หรือปริมาณแห่งของนั้นอันเป็นเท็จ ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

สรุป

การสร้างแบรนด์ให้น่าเชื่อถือ ไม่จำเป็นต้องโฆษณาเกินจริงก็ทำได้ การจำหน่ายสินค้าด้วยความจริงใจ ตรงไปตรงมา ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดี สร้างความน่าเชื่อถืออย่างยั่งยืนมากกว่าการเผยแพร่ข้อมูลสินค้าเกินจริง นำเสนอแต่สิ่งที่อวดอ้างเกินจริง เพราะนอกจากไม่ช่วยสร้าง “ชื่อเสียง” แต่จะเป็นการสร้าง “ชื่อเสีย” ให้กับแบรนด์ของคุณแทน

โดย #โควิก โรงงานอาหารเสริมแบบ OEM รับผลิตอาหารเสริมตามความต้องการของลูกค้า พร้อมด้วยบริการแบบ One – Stop Service ที่บริการแบบครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน ในการสร้างแบรนด์อาหารเสริมของตัวเอง นอกจากนี้ทางโรงงานยังรับผลิตครีม รับผลิตสบู่ และรับผลิตยาสมุนไพรอีกด้วย

แหล่งที่มา : adsidea.net

ธุรกิจสุขภาพและความงามที่ควรลงทุน

ธุรกิจสุขภาพและความงามที่ควรลงทุน

การดูแลตัวเองนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญ บวกกับปัจจุบันที่เทรนด์รักสุขภาพและความงามนั้นก็มาแรงอย่างเรื่อย ๆ ทำให้คนไทยหันมาสนใจเรื่องดูแลสุขภาพและความงามมากขึ้นกว่าเดิม นั่นก็เป็นสาเหตุทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพและความงามมีจำนวนมากและเติบโตขึ้นมากในหลายปีที่ผ่านมา

ผลิตอาหารเสริม

ซึ่งมีแนวโน้มว่า 2 เทรนด์นี้ จะยังคงอยู่ต่อไปอย่างต่อเนื่อง ยากที่เซาซบลง ทำให้มีนักธุรกิจรุ่นใหม่หลากคนสนใจที่จะมาลงทุนธุรกิจในด้านนี้ แต่อาจจะยังไม่รู้หรือจับทางไม่ถูกว่าจะลงทุนกับธุรกิจอะไรดี โดยทาง Kovic ได้นำธุรกิจด้านสุขภาพและความงามที่ควรค่าแก่การลงทุนกัน ลองไปดูกันดีกว่าว่ามีธุรกิจอะไรบ้าง

ธุรกิจอาหารเสริม

เพราะการกินอาหารอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ผู้บริโภคส่วนใหญ่จึงสนใจตัวช่วยอย่าง อาหารเสริม หรือผู้บริโภคบางคนอาจทานอาหารเสริมให้ได้ผลลัพธ์บางอย่างที่ต้องการเช่น ลดน้ำหนัก, ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส หรือล้างสารพิษในร่างกายเป็นต้น โดยอาหารเสริมแต่ละประเภทก็จะมีการใช้ส่วนผสมที่แตกต่างกันไปตามผลลัพธ์ที่ต้องการเช่น สารสกัดสตรอว์เบอร์รี่, สารสกัดชาเขียว เป็นต้น

ซึ่งบางคนเห็นหัวข้อนี้แล้วอาจรู้สึกว่าไม่จริง ธุรกิจอาหารเสริมพังกันไปเป็นแถบ ควรค่าแก่การลงทุนซะที่ไหน แต่หากดูให้ดี ธุรกิจอาหารเสริมที่พังไม่เป็นท่านั้น เกิดมาจากการที่คุณภาพสินค้า ไม่ตรงตามที่โฆษณาไว้ เพราะส่วนมากจะมาจากโรงงานอาหารเสริมที่ไม่ได้มาตรฐาน

สังเกตได้ว่าแบรนด์ที่เห็นผลดีจริง มักจะได้รับการตอบรับที่ดี และเติบโตอย่างเนื่อง เนื่องจากแบรนด์เหล่านั้นเลือกผลิตสินค้ากับโรงงานรับผลิตอาหารเสริมที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และที่สำคัญผลลัพธ์เป็นตามที่ได้พูดถึงหรือโฆษณาไว้ ในยุคที่ผู้คนสนใจสุขภาพ แต่ไม่สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ได้ ธุรกิจอาหารเสริมหจึงตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์คนเมืองในปัจจุบัน

ธุรกิจสกินแคร์

หลายคนอาจคิดว่าแบรนด์สกินแคร์ล้นตลาด จนอาจเป็นไปได้ยากที่จะทำให้แบรนด์เกิด แต่ในความเป็นจริง ความต้องการของผู้บริโภค ไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องจากมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ยึดติดแบรนด์น้อยลง ซึ่งการที่ผู้บริโภคหจะเลือกใช้สกินแคร์นั้น อาจไม่จำเป็นต้องเป็นชื่อแบรนด์ที่ติดหูเสมอไป แต่หากสินค้าคุณภาพดี และได้รับการรีวิวมากพอสมควร แบรนด์นั้นจะสามารถทำกำไรได้มากมายมหาศาลเลยทีเดียว

ธุรกิจเครื่องสำอาง

เช่นเดียวกับสกินแคร์ ผู้บริโภคชอบลองสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะเครื่องสำอาง ถึงแม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับแบรนด์ที่เคยมีอยู่แล้ว ผู้บริโภคก็ต้องการเปรียบเทียบเปรียบเทียบความต่างอยู่ตลอดเวลา เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ดี และเหมาะกับตนเองมากที่สุด

เชื่อหรือไม่ว่าประเทศไทยมีอัตราการส่งออกเครื่องสำอางไปยังต่างประเทศแบบก้าวกระโดด ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ย 18% ต่อปี โดยมีมูลค่าตลาดรวม 2.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ตลาดในประเทศ 60% มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท ตลาดส่งออกอีก 40% มูลค่ากว่า 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกให้กับประเทศเพื่อนบ้านใน AEC และตอนนี้มีแนวโน้มว่าจะเติบโตในตลาดจีนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเครื่องสำอางประเภทสมุนไพร ที่ได้รับความนิยมจากคนจีนเป็นจำนวนไม่น้อย

ธุรกิจศัลยกรรมความงาม

ทุกวันนี้ การศัลยกรรมเสริมความมีการเปิดกว้าง เป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ เมื่อมีเทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามีบทบาท ทำให้ผู้คนตัดสินใจทำศัลยกรรมความงามได้ง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อน ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่รวมไปถึงทุกประเทศทั่วโลก

จากการสำรวจของ International Society of Aesthetic Plastic Surgery (ISAPS; สมาคมศัลยกรรมความงามนานาชาติ) พบว่า ประเทศที่มีการทำศัลยกรรมความงามสูงสุด คือ สหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก ธุรกิจเสริมความงามของไทย มีมูลค่าสูงถึง 14,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย ร้อยละ 10 ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่าการทำศัลยกรรมเสริมความงามในประเทศไทยได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ

ธุรกิจ Botox หรือ Hifu

อย่างเพิ่งแปลกใจว่าทำไม Botox Hifu ต่างจากข้อด้านบนอย่างไร ขอบอกว่า ไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่า ในปัจจุบันนั้นมีกลุ่มผู้บริโภค ที่ไม่ได้เน้นทำศัลยกรรมเป็นเรื่องเป็นราวเกิดขึ้นมากมาย ผู้หญิงหลายคนโดยเฉพาะ วัยทำงานขึ้นไป อาจไม่ได้อยากแก้ไขใบหน้ามากมายนัก แต่เพียงแค่อยากหน้าเรียว ยกกระชับผิวหน้าบางจุด ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ให้ดูอ่อนกว่าวัย

ซึ่ง Botox และ Hifu ถือว่าตอบโจทย์อย่างมาก ยิ่งในปัจจุบัน ราคานั้นลดลงมาพอสมควร คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่าย และอายุของ Botox และ Hifu นั้น มีระยะชั่วคราว ทำให้ลูกค้ามีการหมุนเวียนกลับมาทำซ้ำอยู่เสมอ ดังนั้น ธุรกิจ Botox หรือ Hifu นี้ เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในการลงทุน

ธุรกิจอาหารคลีน

เทรนด์ความงามมักมาคู่กับสุขภาพเสมอ เมื่อสวยจากภายนอกแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะสวยจากภายในด้วย ยุคนี้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้นจนเรียกได้ว่า เป็นไลฟ์สไตล์หลักของคนยุคนี้กันแล้ว ต้องออกกำลังกาย กินของดีมีประโยชน์ และของดีมีประโยชน์ที่ว่านี้ สิ่งแรกที่อาจเข้ามาในหัวของทุกคน ก็คืออาหารคลีนนั่นเอง

ธุรกิจอาหารคลีนค่อนข้างมาแรงในตอนนี้ และเป็นการทำที่ง่ายแสนง่าย เพราะสูตรหรือรสชาติ ไม่ได้เน้นมากมายอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องจำสูตรไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญ และต้องแข่งขันกัน อาจเป็นเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบ และการตกแต่งหน้าตาอาหารให้น่ากินเสียมากกว่า มั่นใจได้ว่าเทรนด์รักสุขภาพ จะยังคงอยู่กับคนไทยไปอีกนาน ดังนั้นธุรกิจอาหารคลีนจึงเป็นธุรกิจที่ควรค่าแก่การลงทุนเช่นเดียวกัน

สรุป

ตลาดความงามและสุขภาพนั้นมีการแข่งขันสูง ผลกำไรมากน้อยนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ขนาดของธุรกิจเสทอไป เพราะความสำเร็จ ผลกำไรที่ดีนั้นมาจาก “ต้นทุนการผลิต” และ “กลุ่มเป้าหมาย ฐานลูกค้า” ในสภาพตลาดที่มีการแข่งขันกันสุดฤทธิ์เช่นนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจลงทุน ต้องมีระบบการวางแผนและการจัดการที่ดี เพื่อพัฒนาให้ธุรกิจของตนเติบโตไปได้ด้วยดี

โดย #โควิก โรงงานอาหารเสริมแบบ OEM รับผลิตอาหารเสริมตามความต้องการของลูกค้า พร้อมด้วยบริการแบบ One – Stop Service ที่บริการแบบครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน ในการสร้างแบรนด์อาหารเสริมของตัวเอง นอกจากนี้ทางโรงงานยังรับผลิตครีม รับผลิตสบู่ และรับผลิตยาสมุนไพรอีกด้วย

แหล่งที่มา businesslinx.globallinker.com

เคล็ดลับออกสินค้าใหม่ยังไงให้ปัง

เคล็ดลับออกสินค้าใหม่ยังไงให้ปัง

ธุรกิจไม่สามารถหยุดนิ่งได้ ถ้าหยุดนิ่งปุ๊บมีแววจบทันที เพราะฉะนั้นเพื่อให้แบรนด์ของเราไปต่ออย่างยาวนาน จะต้องมีการพัฒนาในตัวสินค้า แต่เมื่อระยะเวลาหนึ่งที่การพัฒนาสินค้านั้นไม่สามารถไปต่อได้ ไม่ว่าจากการซ้ำซากของสินค้าประเภทเดียวกัน หรือไม่มีไอเดียในการพัฒนาสินค้าตัวนี้แล้ว ก็จะต้องถึงเวลา “ออกสินค้าตัวใหม่” ออกมา

โรงงานผลิตอาหารเสริม

แต่การออกสินค้าตัวใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากแต่ละวันมีสินค้าใหม่ออกมากมาย มีดังบ้างดับบ้าง ซึ่งเราจะทำอย่างไรให้สินค้าออกใหม่ของเราเป็นที่สนใจ ดึงดูดใจลูกค้าให้มาซื้อได้มากที่สุด เพราะความสำเร็จวันดันที่ยอดขายถึงแม้เปิดตัวอย่างอลังการแค่ไหน แต่ยอดขายไม่มีก็ไม่มีประโยชน์อะไร การออกสินค้าใหม่ จึงต้องมีการวางแผนเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี ปิดช่องโหว่ทุกจุดเท่าที่ทำได้ให้เหลือแค่คำว่า “สำเร็จ” ลองมาดูกันว่า มีเคล็ดลับในการเตรียมตัวอะไรบ้าง เพื่อให้ปังแบบยั้งไม่อยู่

วิจัยการตลาดเท่านั้น อย่ามโน

หลายคนมักเข้าข้างตัวเองว่าสินค้าเรานั้นดีเลิศ พอวางลงตลาดนั้นต้องได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นแน่นอน แต่สิ่งที่เราคิดอาจไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าอยากได้ วิจัยการตลาด จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยรู้ หรือช่วยให้เราตาสว่างขึ้นก่อนเจ็บตัว

หาจุดแข็ง จุดอ่อน เรื่องสำคัญที่อย่ามองข้าม

หากเรารู้จักการวิเคราะห์หาจุดแข็ง จุดอ่อนของสินค้าเรา เปรียบเทียบกับคู่แข่ง คุณก็พอจะรู้ว่า เราแตกต่างกับคู่แข่งตรงไหนบ้าง อะไรที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างเด่นชัด ว่าแต่สิ่งที่เหนือกว่านั้น เป็นสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็ไม่มีประโยชน์อีกเช่นกัน

ลูกค้าเป้าหมาย รักเรามากแค่ไหน

ลูกค้าเป้าหมายคือใคร แล้วเขารู้สึกอย่างไรกับสินค้าเรา ถ้าลูกค้าที่เราเลือกไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับสินค้าเลยนั่นแสดงว่า สินค้านั้นไม่ใช่ช่วยแก้ปัญหาหลักที่ลูกค้า ถึงแม้สินค้าเราสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ แต่มันแรงพอที่จะสร้างแรงกระเพื่อมให้ตัดสินใจซื้อกับลูกค้ากลุ่มนี้ อย่าเพิ่งปล่อยมันออกมา กลับไปพัฒนาสินค้าใหม่ ดีกว่าจนกว่าลูกค้าเป้าหมายจะรักเรา

เปลือกนอก ใครว่าไม่สำคัญ

รูปลักษณ์ของสินค้าเป็นสิ่งสำคัญ เคยซื้อสินค้าแล้วต้องแอบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้ใครเห็นไหม รู้สึกอาย ไม่ภูมิใจเวลาใครเห็นเราใช้ ถ้ามีความรู้สึกนี้เกิดกับลูกค้าละก็แย่แล้วล่ะ สินค้าที่ดีต้องเย้ายวนน่าหลงใหล ลูกค้าต้องภูมิใจ กล้าอวดโชว์ หรือแชร์ให้คนอื่นรู้ว่าใช้สินค้านี้ การออกแบบสินค้า แพคเกจ ผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการ ออกแบบโลโก้ ต้องเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ และไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของลูกค้าเสื่อมเสียไปด้วย

ติดหู โดนตา กระแทกใจ

มีการศึกษาพบว่า การตั้งสโลแกนให้โดน ต้องมีครบ 3 ปัจจัยหลักคือ

  • มีความชัดเจนของข้อความที่จะสื่อ สั้น กระชับ ไม่อ้อมค้อม
  • มีความคิดสร้างสรรค์ แปล แหวกแนว สื่อถึงสินค้า
  • มีความใกล้ชิดคุ้นเคยกับกลุ่มเป้าหมาย ใช้ภาษา สำนวนให้ตรงเป้า

ถ้าเราได้ยินสโลแกนอย่างเช่น ซ่าส์จี๊ด ซี๊ดถึงใจ เราคงพอจะเดาได้ว่าสินค้านั้นน่าจะจับกลุ่มวัยรุ่น มีความสนุกท้าทาย ชอบความสะใจแปลกใหม่ที่ไม่เหมือนใคร สโลแกนเท่ ๆ จำง่าย จะบ่งบอกบุคลิกภาพ ความเป็นตัวตนของแบรนด์ แทนการบรรยายเป็นร้อยเป็นพัน

ปั่นกระแส ยั่วให้อยาก

แต่ช้าก่อน ต้องอดใจรอให้ได้ถึงวันเปิดตัว การปลุกกระแสจากการบอกต่อ ปากต่อปาก สามารถทำให้ลูกค้าเกิดอาการคลุ้มคลั่ง สร้างกระแสต่อเนื่องได้ยาวนาน ยิ่งมาก ยิ่งเป็นผลดี เช่นการเปิดตัวไอโฟน การสร้างข่าวรถยนต์รุ่นใหม่ที่กำลังอวดโฉม การปล่อยทีเซอร์หนังดัง ๆ ที่ทั่วโลกตั้งตารอ การออกหนังสือใหม่ของนักเขียนชื่อดัง ล้วนกระตุ้นให้เหล่าสาวกไม่เป็นอันกินอันนอน

เลือกใช้สื่อให้เหมาะสม

โดยการจ้างนักเขียนสร้างเรื่องราวปลุกกระแสในเว็บดัง ๆ หรือจ้างคนดังรีวิวสินค้าในเชิงบวก ปล่อยภาพหลุด ความลับบางอย่างออกมาเรียกเสียงฮือฮา เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าจริงหรือเท็จ

ลองของจริง เสร็จสรรพสัมผัสเดียว

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาไม่เท่าได้สัมผัสแค่วูบเดียว บางสินค้าการให้กลุ่มเป้าหมายได้มีโอกาสสัมผัสของจริง ทดลองใช้จริง เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ที่สินค้าอื่นไม่เคยให้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องบรรยายสรรพคุณให้ยืดยาว บางรายอาจทำการสำรวจตลาดดูผลตอบรับจากผู้บริโภค เมื่อได้สัมผัสของจริง เพื่อแก้ไขรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนออกตลาด

ปล่อยหมัดเด็ด ทุกช่องทาง

อย่าจำกัดอยู่แค่สื่อใดสื่อหนึ่ง การใช้ทุกสื่อผสมผสาน เหมือนการประกาศป่าวร้องพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะสังคมออนไลน์สื่อทีวี สื่อกลางแจ้ง โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะเห็นสื่อสูง โอกาสสำเร็จก็สูงตาม

อยากได้ต้องจองก่อน

การเปิดให้สั่งจองสินค้าก่อน เป็นอีกวิธี เพื่อเช็คกระแสตอบรับความนิยมหรือความสนใจของสินค้าอีกทาง  ถ้าเปิดจอง แต่คนเข้ามาสั่งน้อยมาก มันส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้กับเจ้าของสินค้าแล้ว เหตุผลที่ลูกค้าไม่สนใจสั่งล่วงหน้าคืออะไร

ปั่นกระแสให้พีค ในวันเปิดตัว

ถ้ากระแสการบอกต่อทำงานมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้จะวันที่พีคสุดให้ทุกคนจับตา การตั้งแถวรอซื้อยาวเหยียดข้ามวันข้ามคืนเพื่อรอเป็นเจ้าของสินค้า การวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมออนไลน์  ไม่ว่าสำนักข่าวไหนก็ต้องมาทำข่าว  เกิดการปั่นกระแสให้พีคสุดในวันเปิดตัวนั่นเอง

โปรแรงแค่วันเดียว

ของอะไรที่มีน้อย มีจำนวนจำกัด คนมักมุงรอแย่งเยอะ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากตกขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษ การจัดโปรโดนใจแค่วันเดียว ช้าหมดอดแน่  พิเศษเฉพาะคุณเท่านั้น ยังมีมนต์ขลังเสมอ

แปลก แตกต่างอย่างมีสไตล์

ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวให้ใหญ่โตทุ่มทุนให้งบการตลาดหมดเกลี้ยงแค่วันเดียว การให้สปอตไลท์ส่องมายังคุณในวันเปิดตัว สามารถทำได้ในงบที่จำกัด  ไม่ปฏิเสธที่งานใหญ่มักจะปังได้ง่ายกว่า แต่งานปัง ไม่จำเป็นต้องเป็นงานใหญ่ แค่แตกต่างในการนำเสนออย่างมีชั้นเชิง สร้างธีมที่ไม่เหมือนใคร จัดในที่ที่ต้องทุกคนต้องร้อง ว้าว!! ก็โดนแล้ว

แผนสำรองควรมีไว้

สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ถึงแม้จะเตรียมการดีแค่ไหน แต่ความผิดพลาดที่ไม่คาดฝันระหว่างทางก็อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ลองหาทางหนีทีไล่ คิดแผนสำรองเผื่อไว้ ถ้าไม่เป็นไปตามแผนจะช่วยให้เราไม่ต้องนั่งอึ้ง คอตก แก้ปัญหาไม่ทันการณ์

สรุป

เหนือสิ่งอื่นใดถึงแม้ว่าจะทำการเตรียมเปิดสินค้าตัวใหม่มาดีแค่ไหน หัวใจหลักที่สำคัญและห้ามลืมเด็ดขาดคือ คุณภาพของสินค้า เพราะถึงแม้ว่าจะเจาะกลุ่มตลาดมาอย่างดี จัดแผนโปรโมทมาเลิศหรู หรือโปรโมชั่นสุดปัง แต่ถ้าสินค้าไม่มีคุณภาพ สินค้าของคุณก็ไม่ต่างกับสินค้าอื่น ๆ ที่ดังช่วงแรก ๆ และหายไปกลับกลีบเมฆไปในไม่ช้า เพราะผลลัพธ์ไม่ตรงความต้องการของลูกค้า

โดย #โควิก โรงงานอาหารเสริมแบบ OEM รับผลิตอาหารเสริมตามความต้องการของลูกค้า พร้อมด้วยบริการแบบ One – Stop Service ที่บริการแบบครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน ในการสร้างแบรนด์อาหารเสริมของตัวเอง นอกจากนี้ทางโรงงานยังรับผลิตครีม รับผลิตสบู่ และรับผลิตยาสมุนไพรอีกด้วย

แหล่งที่มา : taokaemai.com